การรักษาภูมิแพ้โดยวิธีการฉีดวัคซีนภูมิแพ้
จัดเป็นวิธีใหม่ล่าสุดที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกว่าสามารถทำให้โรคภูมิแพ้หายขาดได้ โดยไม่ต้องรับประทานยา ข้อบ่งชี้ในการรักษา
1. ผู้ป่วยที่มีอาการคัดจมูกและหวัดเรื้อรังจากภูมิแพ้อากาศ ( Seasonal / Perenial Allergic Rhinitis )
2. ผู้ป่วยที่มีอาการหอบหืดจากภูมิแพ้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ( Allergic Asthma )
ขั้นตอนการรักษา
1. ซักประวัติและตรวจร่างกายทางหู คอ จมูก และหลอดลม
2. ตรวจภูมิแพ้โดยที่สะกิดผิวหนัง ( Skin Test ) ทุกรายเพื่อให้ทราบสารใดเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้ วิธีการตรวจ Skin Test โดยการสะกิดผิวหนัง โดยการใช้สารชนิดต่างๆ ประมาณ 10-12 ชนิดหยดลงบนผิวหนังหลังจากนั้นใช้เข็มขนาดเล็ก ๆ สะกิด ทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วแปลผลโดยดูจากปฏิกิริยาหรือผื่นที่ปรากฏ
3. หลังจากทราบว่าแพ้สารใดแล้วจะใช้สารที่แพ้ เช่น ฝุ่น , ไรฝุ่น ฯลฯ ฉีดเข้าไปในชั้นใต้ผิวหนังเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโดยเริ่มฉีดจากขนาดน้อยๆในเข็มแรก
4. หลังจากนั้นจะต้องนัดมาฉีดวัคซีนในปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในระยะแรกจะนัด 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ จนถึงจุดที่ผู้ป่วยเริ่มมีภูมิคุ้มกันผู้ป่วยจะไม่มีอาการ จึงจะเริ่มฉีดห่างขึ้น ทุก 3-4 สัปดาห์ ในระยะแรก คือ 3-6 เดือนแรกอาจจะต้องใช้ยารับประทานและยาพ่นจมูก , ยาพ่นหลอดลมร่วมด้วยเพื่อควบคุมอาการ
5. โดยทั่วไปแพทย์มักจะให้ฉีดในขนาดสมุลทุก 4 สัปดาห์ต่ออีประมาณ 2 ปีเป็นอย่างน้อย
ผลการรักษาโดยวิธีฉีดวัคซีน
- 80% ได้ผลดีอาการน้อยลงจนหยุดยาได้ภายใน 6 –12 เดือน
- เป็นที่ยอมรับในการรักษาในปัจจุบันว่าผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีนี้ายในเวลา 5 ปี หลังจากหยุดฉีดยาพบว่ามากกว่า 60 % สามารถควบคุมอาการได้ดี
ข้อเสีย
- ต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ป่วยมาก
- ต้องใช้เวลาในการรักษานาน ( ต้องฉีดวัคซีนภูมิแพ้ทุกๆเดือนต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 2 ปี
- ต้องฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและโดยความระมัดระวัง
- ข้อดีเปรียบเทียบกับการรักษาดดยใช้ยา
- ไม่มีผลข้างเคียงจากยา เช่น ง่วงนอน , ใจสั่น ฯลฯ
- ไม่ต้องรับประทานยาทุกวันเพื่อควบคุมอาการ
- การรักษาโดยใช้ยาเป็นการรักษาตามอาการแต่การรักษาโดยวัคซีนภูมิแพ้เป็นการรักษาที่ ต้นเหต ุของโรคภูมิแพ้ทำให้รักษาหายขาดได้